เพลี้ยแป้ง (Mealybug) เป็นแมลงปากดูดในอันดับ Hemiptera วงศ์ Pseudococcidae มีลักษณะพิเศษคือลำตัวอ่อนนุ่ม เพลี้ยแป้งสามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและแบบไม่อาศัยเพศ เพลี้ยแป้งมีการเจริญเติบโตแบบเปลี่ยนแปลงรูปร่างทีละน้อย (gradual metamorphosis) ประกอบด้วยระยะไข่ ตัวอ่อน และตัวเต็มวัย ตัวอ่อนเมื่อฟักออกจากไข่จะเคลื่อนที่ได้ว่องไวและคลานไปยังพืชที่เหมาะสม เรียก crawler มีขนาดเล็ก ยังไม่มีไขแป้งปกคลุมลำตัว ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตโดยการลอกคราบจนกระทั่งเป็นตัวเต็มวัย เพศเมียลอกคราบ 3 ครั้ง รูปร่างลักษณะของตัวอ่อนจะคล้ายตัวเต็มวัย ต่างกันที่ตัวอ่อนเพศเมีย ระยะต้นๆ มีจำนวนปล้องหนวดน้อยกว่าตัวเต็มวัยและอวัยวะบางส่วนยังไม่เจริญเต็มที่ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ส่วนเพศผู้ลอกคราบ 4 ครั้ง ตัวอ่อนวัยที่ 1 และ2 จะเหมือนกับตัวอ่อนเพศเมีย ในช่วงท้ายของตัวอ่อนเพศผู้วัยที่ 2 จะเริ่มสร้างเส้นใยปกคลุมลำตัวแล้วลอกคราบ เข้าสู่ระยะก่อนเข้าดักแด้ (cocoon) และอาศัยอยู่ภายในรังไหมนั่น ตัวอ่อนเพศผู้วัยนี้มีรูปร่างแตกต่างจากเพศเมีย โดยที่เพศผู้มีขนาดเล็กกว่า ลำตัวผอมยาว เริ่มปรากฏปุ่มปีกให้เห็นลอกคราบเป็นดักแด้ (pupa) ซึ่งมีการพัฒนาปีกและหนวด จากนั้นลอกคราบอีกครั้งเป็นตัวเต็มวัยเพศผู้ที่มีลำตัวผอมยาว หนวดยาว ปีก 1 คู่ ตัวเต็มวัยเพศผู้ไม่กินอาหาร
ระยะไข่ (Egg stage) วางไข่เป็นกลุ่มมีเส้นใยสีขาวปกคลุมบาง ๆ ไข่มีสีเหลืองอำพันรูปวงรีระยะตัวอ่อน (Nymphal stage) ตัวอ่อนวัยแรกจะมีลำตัวสีเหลือง ลำตัวยาวรี ตาสีแดง สังเกตเห็นหนวดได้ตั้งแต่ระยะนี้ เมื่อเข้าสู่วัยที่ 2 ตัวอ่อนจะมีลำตัวปกคลุมด้วยผงแป้งสีขาวและเพิ่มมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ตัวอ่อนวัยที่ 3 ระยะตัวเต็มวัย (Adult stage) ลำตัวป้อม ยาวรี มีผงแป้งปกคลุมทั่วร่างกาย เพศเมีย 1 ตัวสามารถวางไข่ได้ประมาณ 300-600 ฟอง |
วงจรชีวิตของเพลี้ยแป้งเพศผู้ประกอบด้วยระยะตัวอ่อน 2 วัยที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายที่พบในวงจรชีวิตของเพศเมีย แต่จะมีระยะก่อนเข้าดักแด้ เมื่อเข้าสู่ระยะดักแด้จะสังเกตเห็นใยไหมสีขาวปกคลุมลำตัว ตัวเต็มวัยจะมีลักษณะรูปร่างแตกต่างจากตัวอ่อนและดักแด้อย่างสิ้นเชิง โดยจะมีลำตัวสีเหลืองอ่อน มีปีกยาวคลุมลำตัวและสังเกตเห็นหนวดชัดเจน สามารถแยกเพศของเพลี้ยแป้งได้จากตัวอ่อนวัย 4 หรือระยะดักแด้และตัวเต็มวัย (Figure 2, 3) วงจรชีวิตเพลี้ยแป้งเพศผู้จะสั้นกว่าเพศเมีย |
1.เพลี้ยแป้งสีชมพู ( Phenacoccus manihoti Matile-Ferrero ) เพลี้ยแป้งสีชมพูเพศเมียสามารถสืบพันธุ์ได้โดยไม่อาศัยเพศและตัวอ่อนที่ฟักออกมาจากไข่จะเป็นเพศเมียเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า Thelyotoky ไข่ระยะเริ่มแรกมี สีเหลืองอ่อน ซึ่งคล้ายกับไข่เพลี้ยแป้งสีเขียว แต่เมื่อใกล้ฟักไข่จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน ตัวอ่อนสีชมพูอ่อน เมื่อใกล้ระยะเปลี่ยนวัยสีลำตัวจะเข้มขึ้น การเปลี่ยนแปลงวัยสังเกตได้จากการทิ้งคราบขาวๆไว้ปลายลำตัว ตัวเต็มวัยมีการสร้างผงแป้งสีขาวปกคลุมลำตัว และเส้นขนปลายลำตัวสั้นหรือมองไม่เห็น ตัวเต็มวัยเพศเมียมีหนวดจำนวน9 ปล้อง ขายาวเรียว cerarius จำนวน 18 คู่ จำนวน 2 อันเท่านั้น ด้านบนของส่วนท้องไม่ปรากฏลักษณะที่คล้าย cerarius เรียงเป็นแถวพาดตามยาวของลำตัว |
|
2. เพลี้ยแป้งสีเขียว (Phenacoccus madeirensis Green) เพลี้ยแป้งสีเขียวเพศเมียมีผนังลำตัวสีเขียวอมเหลืองปกคลุมด้วยไขแป้งสีขาวด้านข้างรอบลำตัวมีเส้นแป้งสั้นๆ เส้นแป้งด้านท้ายลำตัวมีความยาวใกล้เคียงกับเพลี้ยแป้งสีชมพูแต่มีขนาดยาวมากกว่า ระยะไข่เริ่มแรกมีสีเหลืองอ่อน แต่เมื่อใกล้ฟักสีของไข่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองซึ่งสีของไข่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากแต่เปลี่ยนแปลงเพียงความเข้มเท่านั้น ตัวอ่อนสีเขียว เมื่อใกล้ระยะเปลี่ยนวัยสีลำตัวจะเข้มขึ้น การเปลี่ยนวัยสังเกตได้จากการทิ้งคราบขาวๆไว้ปลายลำตัว ตัวเต็มวัยมีการสร้างผงแป้งสีขาวปกคลุมลำตัว ตัวเต็มวัยเพศเมียมีหนวดจำนวน 9 ปล้อง cerarius จำนวน 18 คู่ แต่ละคู่มี cerarian seta จำนวน 3 หรือมากกว่า ด้านบนของส่วนท้องมีรูรูปวงกลมเรียงตามขวางของลำตัวและมีลักษณะที่คล้าย cerarius เรียงเป็นแนวตาม ความยาวของลำตัวนอกจากนี้มีรูรูปห้าเหลี่ยมบนผนังลำตัวด้านล่าง |
|
3. เพลี้ยแป้งแจ็คเบียสเลย์(Pseudococcus jackbeardsleyi Bimpel&Miller) เพลี้ยแป้งแจ๊คเบียสเลย์เพศเมีย ผนังลำตัวสีเทาอมชมพู ปกคลุมด้วยไขแป้งสีขาว ด้านข้างลำตัวมีเส้นแป้งบางๆ ค่อนข้างยาว เส้นแป้งด้านท้ายลำตัวยาวกว่าเส้นแป้งด้านข้าง ไข่ระยะเริ่มแรกมีสีส้มอมแดงและเมื่อใกล้ฟักเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง ระยะตัวอ่อนเริ่มแรกลำตัวเป็นสีแดงอ่อน และเมื่อเริ่มเปลี่ยนวัยสีของลำตัวจะสีเทาเข้มขึ้น การเปลี่ยนวัยสังเกตได้จากการทิ้งคราบขาวๆไว้ปลายล าตัวตัวเต็มวัยมีการสร้างผงแป้งสีขาวปกคลุม และเส้นขนด้านข้างลำตัวยาวและปลายท้องยาวกว่าเพลี้ยแป้งสีชมพูและเพลี้ยแป้งสีเขียว ตัวเต็มวัยเพศเมียมีหนวดจำนวน 8 ปล้อง ขาค่อนข้างยาวเรียว มีรูโปร่งใสเฉพาะบริเวณต้นขา (femur) และหน้าแข้ง (tibia) ของขาคู่หลัง cerarius มี จ านวน 17 คู่ คู่ที่ส่วนหัวมีcerariun seta 3 เส้น |
|
4.เพลี้ยแป้งลาย (Ferrisia virgata Cockerell) ตัวอ่อนมีสีเหลืองอ่อน กลมรี มองไม่เห็นส่วนหางคล้ายกับตัวอ่อนวัย 1 ของเพลี้ยแป้งสีเขียวไม่มีแป้งเกาะ จะมีแป้งเกาะหลังลอกคราบแล้ว 2-3 วัน และเห็นส่วนหาง ตัวเต็มวัยมีลักษณะตัวป้อมกลมรี ส่วนหลังและด้านข้างมีแป้งสีขาวเกาะตัวเต็มวัยเพศเมียผนังลำตัวสีเทาดำปกคลุมด้วยไขแป้งบางๆ สีขาว และมีแถบสีดำ 1 คู่ พาดตามยาวเกือบกึ่งกลางลำตัวด้านท้ายของลำตัวมีเส้นแป้งสีขาว 1คู่มีความยาวครึ่งหนึ่งของลำตัว ผนังลำตัวด้านข้างไม่มีเส้นแป้ง มีหนวดจำนวน 8 ปล้อง ขายาวเรียวมี cerarius 1 คู่อยู่บริเวณส่วนท้ายของลำตัว cerarius มีขนปลายแหลมขนาดใหญ่ 2 เส้น ผนังลำตัวด้านบนมี oral-rim tubular duct ซึ่งบริเวณรอบปากท่อเป็นแผ่นแข็งรูปวงกลมมีเส้นขน จำนวน 2-4 เส้นอยู่รอบ ๆ หรืออยู่ในรัศมีของวงกลมนั้น |
เพลี้ยแป้งในเงาะ |
เพลี้ยแป้งในทุเรียน |
เพลี้ยแป้งในน้อยหน่า |
เพลี้ยแป้งในฝรั่ง |
เพลี้ยแป้งในสับปะรด |
เพลี้ยแป้งในลองกอง |
เพลี้ยแป้งในมังคุด |
เพลี้ยแป้งในมะเขือ |
เพลี้ยแป้งในมะละกอ |
เพลี้ยแป้งในลีลาลาวดี |
เพลี้ยแป้งในมะนาว |
เพลี้ยแป้งในพริกไทย |
ท่อนพันธุ์ที่ถูกเพลี้ยแป้งทำลายยอดอ่อนหงิกท่อนพันธุ์ที่ถูกเพลี้ยแป้งทำลายข้อสั้นคดงอ
เพลี้ยแป้งทำความเสียหายต่อมันสำปะหลัง โดยการดูดกินน้ำเลี้ยงตามส่วนต่างๆ เช่น ใบ ยอด และตา ในส่วนของต้นที่ยังอ่อนอยู่ ยอดที่ถูกทำลายจะงอหงิกเป็นพุ่ม ลำต้นจะบิดเบี้ยวมีช่วงข้อถี่ ทำให้มีผลต่อคุณภาพท่อนพันธุ์ หัวมีขนาดเล็ก เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ หากการระบาดรุนแรงยอดจะแห้งตาย ถ้ามีระบาดในช่วงที่มันสำปะหลังอายุน้อย อาจทำให้ต้นมันสำปะหลังตายหรือไม่สามารถสร้างหัวได้ เพลี้ยแป้งจะระบาดรุนแรงในฤดูแล้งมากกว่าในฤดูฝนโดยเฉพาะฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน แปลงที่มีการระบาดอย่างรุนแรงความเสียหายเกิดขึ้นเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
สภาพไร่มันสำปะหลังที่ถูกเพลี้ยแป้งเข้าทำลาย |
รุนแรงทำให้ยอดหงิก |
ยอดที่ถูกเพลี้ยแป้งทำลาย |
ข้อถี่โค้งงอ |
การระบาดในช่วงอายุน้อยอาจทำให้ต้นตายได้ |
หัวมีขนาดเล็ก และแป้งต่ำ |
เพลี้ยแป้งขับถ่ายมูลหวานออกมา |
ราดำเจริญเติบโตโดยอาศัยมูลหวาน |
สามารถทำได้โดยวิธีเขตกรรม และวิธีกล ได้แก่ การไถพรวนดินหลายๆ ครั้ง และตากดินอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดประมาณเพลี้ยแป้งและศัตรูพืชอื่นๆ ที่อยู่ในดิน หลีกเลี่ยงการปลูกมันสำปะหลังที่อาจทำให้ต้นมันสำปะหลังงอกและระยะแรกของการเจริญเติบโตอยู่ในช่วงแล้งหรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน เนื่องจากเป็นสภาพแวดล้อมเหมาะกับการเจริญเติบโตของเพลี้ยแป้ง เมื่อตรวจพบเพลี้ยแป้งเริ่มเข้าทำลาย ให้ถอนต้น หรือตัดส่วนที่มีเพลี้ยแป้งนำไปเผาทำลาย และหากจำเป็นต้องปลูกใหม่ให้ใช้ท่อนพันธุ์ที่สะอาดปราศจากเพลี้ยแป้ง รวมทั้งการควบคุมโดยชีววิธี ทั้งแมลงห้ำและแมลงเบียน โดยกำหนดแนวทางการควบคุมตามพื้นที่ ที่พบการระบาด ดังนี้
พื้นที่ที่ยังไม่พบการระบาด
พื้นที่ที่มีการระบาดของเพลี้ยแป้ง
การใช้สารฆ่าแมลงป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้ง
การใช้สารเคมีฆ่าแมลงมีความจำเป็นเพื่อป้องกันในระยะแรกของการปลูกและลดปริมาณแมลงศัตรูพืชในช่วงที่เพลี้ยแป้งระบาดรุนแรง
การแช่ท่อนพันธุ์ สารฆ่าแมลงที่แนะนำ คือ
การใช้สารฆ่าแมลงฉีดพ่นทางใบ สารฆ่าแมลงที่แนะนำ คือ อะเซทามิพริด, อิมิดาโคลพริด, บูโพรเฟซิน, ไดโนทีฟูแรน, ไทอะมีทอกแซม