ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของแกลดิโอลัส
ชื่อ : แกลดิโอลัส
ชื่ออื่น : sword lilly, ซ่อนกลิ่นฝรั่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gladiolus hybrida
ชื่อสามัญ : Gladiolus
ถิ่นกำเนิด : แอฟริกาใต้
ลักษณะทางพฤกศาสตร์
หัว (corn) คือส่วนที่เจริญขึ้นจากการสะสมอาหารที่ส่วนฐานของใบ ต้นท่อนจะงอกจากตาที่หัวและเจริญเติบโตขึ้นไป หลังจากใบผลิตอาหารขึ้นแล้วก็ส่งไปเก็บที่โคนใบจนกระทั่งเกิดเป็นหัวใหญ่ เปลือกที่หุ้มหัว (leaf base or tunic) สร้างโดยส่วนของโคนใบ เปลือกเหล่านี้จะป้องกันไม่ใหัได้รับอันตรายจากเชื้อโรคและสิ่งต่าง ๆ ฉะนั้นจึงไม่ควรเอาออก ยกเว้นตอนปลูก เมื่อลอกเปลือกออกแล้วควรทายาป้องกันราเสียก่อนที่จะนำไปปลูก
ลักษณะของหัว ตาใหญ่นั้นจะเจริญเติบโตเป็นใบ(ต้น) ส่วนตาเล็กจะเป็นแกนกลางใบ ตาใหญ่และตาเล็กเหล่านี้จะสร้างใบและช่อดอกหัวใหม่จะเกิดเมื่อมดอก หัวจะโตขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากดอกบานแล้วหัวเก่าจะแห้ง ปริมาณ แป้งในหัวเน่าจะลดลงจาก 29 เปอร์เซ็นต์คงเหลือ 9 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 4 ถึง 6 อาทิตย์หลังปลูก
ราก (root) การเกิดรากและหัวใหม่ หัวใหม่ที่เกิดขึ้นจะมี contractile root ที่ปลายรากนี้จะเกิดเป็นหัวเล็ก (cormel) บางที cormel เกิดติดกัน new corm ขนาด cormel ประมาณ 1.5 ซม. รากที่งอกครั้งแรก (primary root) จะเป็น เส้นด้าย contractile root เหล่านี้ยึดลำต้นและบังคับหัวให้อยู่ในดิน หาน้ำและแร่ธาตุเพื่อความเจริญเติบโตของลำต้น ถ้ารากฝอยแห้งหรือหงิกงอ จะทำให้การเจริญของหัวใหม่หยุดชะงัก
ลำต้น เป็นลำต้นเทียม (pseudostem) ค่อนข้างแบน เกิดจากกาบใบและโคนใบอยู่รวมกัน ส่วนลำต้นแท้ ๆ นั้นอยู่ภายในหัว
ใบ ลักษณะใบยาวเรียวคล้ายดาบ มีเส้นใบขนานไปตามความยาวใบ จากลักษณะของใบนี้ ชาวโรมันจึงให้ชื่อว่า “Gladiolus” ซึ่งแปลว่า ดาบ
ช่อดอก เป็นแบบ spike แบ่งตามลักษณะการจัดเรียงของดอกบานบนช่อได้ 5 แบบ คือ
ลักษณะดอก
ดอกมีรูปร่างแบบกรวย (funnel shaped) มีเกสรตัวผู้ 3 อัน อยู่ภายในหลอด (tube) เกสรตัวเมีย 3 อัน ก้านเกสรตัวเมียยาว รังไข่มี 3 ช่อง (locules) สำหรับรูปดอกของแกลดิโอลัส แยกได้ 9 แบบ คือ
แบบที่ 1 กลีบดอกชั้นนอกที่อยู่ข้างบนชิดกันพอดี
แบบที่ 2 กลีบดอกชั้นนอกที่อยู่ด้านบนเกยกัน
แบบที่ 3 กลีบดอกชั้นนอกที่อยู่ด้านบนอยู่ห่างกัน
ลักษณะทั่วไป : แกลดิโอลัสหรือซ่อนกลิ่นฝรั่ง เป็นไม้ตัดดอกที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบันมีสีสันสะดุดตา เช่น สีขาว เหลือง ชมพู แดง ม่วง ส้ม มีช่อดอกยาว เหมาะสำหรับปลูกเพื่อตัดดอกเป็นการค้า เพราะสามารถตัดช่อดอกได้ตั้งแต่ดอกยังไม่บาน แกลดิโอลัสเป็นพืชหลายฤดู มีหัวเป็นลำต้นสะสมอาหารพองอยู่ใต้ดินเมื่อปลูกแล้วจะเกิดหัวใหม่ขึ้นแทนหัวเก่า ดอกมีรูปร่างเหมือนกรวย คล้ายกับดอกกล้วยไม้ ตัวใบจะมีลักษณะยาวเรียวคล้ายดาบ แกลดิโอลัสมีอยู่หลายชนิด ทั้งที่ดอกมีกลิ่นหอมและไม่มีกลิ่นหอม
แกลดิโอลัสจัดเป็นพืชหัว (Corm) เมื่อปลูกแล้วจะเกิดหัวใหม่ขึ้นแทนหัวเก่า สามารถใช้ขยายพันธุ์ ได้ต่อไป และยังมีหัวย่อยเกิดขึ้นอีกมากมาย ปัจจุบันนี้มีการผลิตหัวย่อยได้ผลดีที่ภาคเหนือ ชนิดของแกลดิโอลัส ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และได้มีการนำมาใช้เป็นหลักในการพัฒนาการผลิต พันธุ์แกลดิโอลัสพันธุ์ใหม่ ๆ คือ
1.แกลดิโอลัส แกรนดิฟลอรัส (Gladiolus grandiflorus) เป็นชนิดต้นใหญ่ ช่อดอกอวบยาว และ แข็งแรง ดอกใหญ่เรียงชิดกัน ช่อดอกหนึ่ง ๆ อาจมีดอกถึง 20 ดอก และดอกบานพร้อมกันประมาณ 5-7 ดอก
2.แกลดิโอลัส พรายมูลินัส (Gladiolus primulinus) เป็นชนิดต้นเล็ก ช่อดอกเล็กยาวเรียว ดอกเล็กเรียงห่างกัน จำนวนดอกในช่อน้อย มีลักษณะพิเศษคือ กลีบบนชั้นในงุ้มงอปรกเกสร
3.แกลดิโอลัส ทูเบอเจนนิอาย (Gladiolus tubergenii) เป็นชนิดที่ต้นและดอกเล็ก แต่ดอกใน ช่อเรียงชิดกัน ใช้ในการผสมเพื่อผลิตแกลดิโอลัสพันธุ์ดอกจิ๋ว
4.แกลดิโอลัส โควิลลีอาย (Gladiolus covillei) เป็นลูกผสมระหว่างแกลดิโอลัส คาร์ดินาลิส (Gladiolus cardinalis) ซึ่งเป็นชนิดที่มีต้นสูงใหญ่ ดอกสีแดง กับแกลดิโอลัส ทริสติส (Gladiolus tristis) ซึ่งเป็นชนิดดอกเล็ก สูงไม่เกิน 60 ซม. ใน 1 ช่อมีเพียง 2-4 ดอก มีสีขาวหรือครีม และมีสี ม่วงหรือสีน้ำตาลปนอยู่เป็นเส้น
5.แกลดิโอลัส นานุส (Gladiolus nanus) เป็นประเภทหนึ่งของพันธุ์โควิลลีอายที่ต้นมีขนาดเล็ก ช่อดอกเล็กเรียวยาว ขนาดดอกเล็กบอบบาง มีสองสีในแต่ละกลีบจำนวนดอกในช่อน้อยและ ดอกจะบานพร้อมกันคราวหนึ่งเพียง 1-2 ดอก ในแต่ละช่อ